04.00 น. คณะพร้อมกัน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ชั้น4 เคาน์เตอร์สายการบินไทย เจ้าหน้าที่บริษัทต้อนรับและอำนวยความสะดวกเรื่องสัมภาระและเอกสารการเดินทางแก่ท่าน
07.00 น. ออกเดินทางจากสู่ เดลลี โดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 323 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง)
09.55 น. เดินทางถึง ท่าอากาศยานนานาชาติอินทิราคานธีร์ เมืองนิวเดลลี (New Delhi) ตามเวลาท้องถิ่นผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและตรวจรับสัมภาระ...นำท่านเดินออกไปอาคารภายในประเทศเพื่อเดินทางต่อไปเมืองศรีนาคา(แคชเมียร์) เพื่อสะดวกกับการเดินทาง อิสระอาหารกลางวันในสนามบินตามอัธยาศัยภานในสนามบิน... เวลาที่อินเดียช้ากว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง 30 นาที
14.50 น. ออกเดินทางสู่ ศรีนาคา โดยสายการบิน INDIGO เที่ยวบินที่ 6E6816
16.20 น. เดินทางถึง สนามบินศรีนาคา (Srinagar) เมืองหลวงของรัฐจัมมูและแคชเมียร์ พร้อมรับสัมภาระแล้วเปลี่ยนเป็นรถเทมโป นำท่านเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองศรีนาคา
นำท่านเดินทางไปชม สวนโมกุล (Mughal Gardens) สวนโมกุล แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ตามแบบชาวเปอร์เซีย คือ ลำธาร สระน้ำ และ แปลงดอกไม้นานาพันธุ์หลายหลายสี สวยงาม แล้วยังมี ลานน้ำพุที่ทอดยาว จากที่ต่ำขึ้นที่สูง หันหน้าสู่ทะเลสาบดาล สวนสวรรค์แห่งดอกไม้ ช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน ดอกไม้เมืองหนาวออกดอกชูช่ออย่างสวยงาม
นำท่าน ล่องเรือชิคารา (เรือพายแบบแคชเมียร์) ใช้เวลาในการล่องเรือประมาณ1 ชม. “ชิคาร่า(Shikara) เรือพายโบราณ เป็นพาหนะสำหรับทำมาหากินของชาวแคชเมียร์ที่มีบ้านเรือนอยู่ริมน้ำที่สำคัญใบพายเป็นรูปหัวใจ...ให้ท่านชมความงดงาม ทะเลสาบดาล ทะเลสาบได้รับการขนานนามว่า “เพชรยอดมงกุฏของแคชเมียร์” หรือ “อัญมณีแห่งศรีนาคา” เนื่องจากเป็นทะเลสาบที่มีความสวยงาม เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาของ ชาวแคชเมียร์
ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ บ้านเรือ
ที่พัก: Meena Deluxe House Boat
เช้า บริการอาหารเช้า ณ บ้านเรือ
จากนั้น นำท่านออกเดินทางสู่ โซนามาร์ค (Sonamarg) ใช้เวลาประมาณ 3.30 ชั่วโมง ระหว่างสองข้างชมวิวความสวยงามตลอดทาง “โซนามาร์ค” ทุ่งทองคำแห่งแคชเมียร์ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นประตูโบราณเส้นทางสายไหมเชื่อมต่อจัมมูและแคชเมียร์กับทิเบต เป็นจุดเริ่มต้นที่จะมุ่งหน้าไปยังลาดักห์ หรือเป็นรู้จักกันดีในชื่อว่า“ประตูสู่ลาดักห์” เส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางที่มีทิวทัศน์สวยงามตลอดสองข้างทาง
กลางวัน บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร (โซนาร์ค)
บ่าย ออกเดินทางสู่ คาร์กิล (Kargil) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ช.ม. ระหว่างสองข้างทางท่านจะพบกับทิวทัศน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ไต่ระดับความสูงขึ้นขึ้นไปเรื่อยๆ โดยใช้เส้นทาง โซจิ ลา (Zojila Pass) ถนนที่เชื่อมต่อระหว่างแคชเมียร์กับลาดักห์ มีความยาวเพียงแค่ 9 กิโลเมตรเท่านั้น แต่อยู่บนความสูงระดับ 3,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล นั่งชมวิวภูเขาสูงสลับซับซ้อน วิถีชีวิตชาวแคชเมียร์ตลอดทาง ผ่านเมืองดราส (Dras) ตั้งอยู่บนทางด่วนสาย NH 1 ระหว่างช่องเขาโซจิ ลา กับเมืองคาร์กิล ดราสเป็นสถานที่อยู่อาศัยที่หนาวเย็นที่สุดในอินเดียและเป็นอันดับสองของโลก (ไซบีเรียเป็นที่แรก) หมู่บ้านบนภูเขาของ Dras เริ่มเป็นที่รู้จักในปี 1999 เมื่อการรุกรานของกองทัพปากีสถานนำไปสู่สงครามคาร์กิล (Kargil War) เริ่มตั้งแต่ 26 พฤษภาคม - 26 กรกฎาคม ค.ศ. 1999 ถึงแม้อินเดียจะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะแต่อินเดียพบกับความสูญเสียมหาศาล เนื่องจากสูญเสียทหารไปจำนวนมาก นำท่านชม อนุสรณ์สถานสงครามคาร์กิล (Kargil War Memorial) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอนุสรณ์สถานสงครามดราส สร้างโดยกองทัพอินเดียเพื่อรำลึกถึงสงครามในปี ค.ศ.1999 ตรงข้ามเขาไทเกอร์ (Tiger Hill) จัดแสดงเกี่ยวกับเรื่องราวของสงครามคาร์กิล อีกทั้งยังมีเปลวไฟชั่วนิรันดร์ เพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารอินเดียที่เสียชีวิตในช่วงสงคราม
เดินทางต่อไปยังเมืองคาร์กิล...เมืองชายแดนรอยต่อระหว่างแคชเมียร์ ลาดักห์และปากีสถาน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำซูรู (Suru River) ครั้งหนึ่งเมืองนี้เคยเป็นสมรภูมิอันดุเดือด "สงครามคาร์กิล" ระหว่างอินเดียและปากีสถาน เมื่อปี 1999 เมืองนี้อยู่ในเขตลาดักห์แต่มีวัฒนธรรมคล้ายกับเขตบัลติสถานของแคชเมียร์ฝั่งปากีสถาน ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม...เดินทางถึงเมืองคาร์กิลในช่วงค่ำๆ
ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม
ที่พัก: Higland Mountain Resort Kargil หรือเทียบเท่า
เช้า บริการอาหารเช้า ณ โรงแรม
จากนั้น ออกเดินทางไป มูลเบกห์ (Mulbek) ระยะทาง 40 ก.ม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ช.ม. ระหว่างทางจะสังเกตเห็นทิวทัศน์ระหว่างทางที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ภูเขาโล้นสีน้ำตาล ต้นไม้ข้างทางที่พบได้มากคือต้อนป็อปลาร์ (Poplar) พอเริ่มเข้าเขตเมืองมูลเบกห์จะเริ่มเห็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ตั้งแต่ผู้คนอยู่ในเมืองมีหน้าตาคล้ายกับคนในทิเบต นับถือศาสนาพุทธมหายาน ตามบ้านเรือน วัด และอาคารประดับด้วยธงมนต์ ชาวทิเบตเชื่อว่า ธงมนต์คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บนธงจะมีบทสวดอยู่ ชาวทิเบตมักจะนำธงมนต์ไปผูกไว้ในที่สำคัญทุกที่ เช่นตามยอดเขาสูง หน้าผาสูงชันหรือถนนริมเขาที่อันตราย บ้านเรือน แม้แต่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ด้วยความที่เชื่อกันว่าเมื่อลมพัดผ่านธงมนต์ ก็จะนำพาบทสวดไปปกปักรักษาผู้คน
นำท่านชม วัดมูลเบกห์ (Mulbekh Monastery) มีรูปแกะสลัก พระศรีอริยเมตไตรย บนผาหินขนาดสูง 9 เมตร เก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 วัดมูลเบกห์เป็นวัดพุทธในนิกายเกลุกปะภายในวัดมีทั้งภาพพระบฏและจารึกอักษรโบราณที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่ง
นำท่านเดินทางสู่ เมืองลามายูรู (Lamayuru) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ช.ม. ผ่านจุดสูงสุดบนเส้นทางศรีนาคา-เลห์ฟอร์ทูล่า ท็อป (Fotula Top) ระดับความสูง 4,108 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล นำท่านผ่านถนนไร้หมายเลขเข้า สู่ เมืองเลห์ Leh Ladakh ตามทางหลวงไร้หมายเลข ไปจนถึงเมืองเลห์ เมืองหลวงแห่ง ลาดักห์
กลางวัน บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
บ่าย จากเมืองคาร์กิลไปยังเมืองเลห์ เส้นทางเลห์ลาดักห์- แคชเมียร์ ที่ระดับความสูง 3,390 เมตร นำท่านชม วัดลามายูรู (Lamayuru Monastery) หนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดในลาดัก วัดทางพุทธศาสนาแบบทิเบต มีอายุประมาณ 1000 ปี สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 โดย Mahasiddhacharya Naropaจุดเด่นของที่นี่คือสถาปัตยกรรมโบราณ มีมนต์ขลัง และทัศนียภาพที่ตระการตาเนื่องจากตั้งอยู่บนภูเขาสูงที่ได้ชื่อว่าเป็น “The Moon land” เพราะว่ามีภูมิประเทศที่คล้ายดวงจันทร์
ออกเดินทางสู่เมืองเลห์ (Leh) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมง ลาดักห์ หรือ ทิเบตน้อย (little tibet) โดยมี เลห์ (Leh) เป็นเมืองหลวงของลาดักห์ พื้นที่ตอนบนสุดของลาดักห์เคยเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของทิเบตตะวันตก แวะถ่ายรูป จุดชมวิวแม่น้ำสองสี (Sangam View Point) ที่มองเห็นแม่น้ำสินธุสีเขียวฟ้า และแม่น้ำซันสการ์สีน้ำตาลข้น ไหลมาบรรจบกัน เป็นวิวซึ่งสวยงามแปลกตามากๆ ก่อนเดินทางเข้าเมืองเลห์จะผ่าน Magnetic Hill ถ้าจอดรถเอาไว้ตรงจุดที่กำหนดไว้แล้วดับเครื่องยนต์ เราจะเห็นเหมือนรถไหลขึ้นภูเขาได้เอง ซึ่งจริงๆแล้วเป็นภาพลวงตา ถนนจริงๆเป็นทางลงเขาต่างหาก...เดินทางต่อจนถึง เมืองเลห์ (Leh) ตั้งอยู่บนความสูง 3,524 เมตรจากระดับน้ำทะเล ประชากรส่วนใหญ่ในเลห์สืบเชื้อสายจากชาวทิเบต พูดภาษาลาดักห์ ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ
ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม
หมายเหตุ:กรุณาเตรียมกระเป๋าเล็กเพื่อพักในหุบเขานูบรา 1 คืน
ที่พัก: Northern Singge Leh หรือเทียบเท่า
เช้า บริการอาหารเช้า ณ โรงแรม
จากนั้น นำท่านเดินทางสู่ นูบร้าวัลเล่ย์ (Nubra Valley) ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นลาดักห์ หมู่บ้านที่ตั้งอยู่กลางหุบเขา มองไปทางไหนมีแต่ทะเลทรายสีเงิน แรงดึงดูดของความร้อนระอุของทะเลทราย ยิ่งทำให้ ที่นี่ เป็นที่ต้องตาโดนใจของนักท่องเที่ยวที่อยากไปเยือนซักครั้งในชีวิต
ผ่านเส้นทางขึ้นเขาที่นับเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ห้ามพลาดเมื่อมาเยือนลาดักห์ คาร์ดุง ลา พาส (Khardung La Pass) จากจุดนี้เราสามารถมองเห็นเทือกเขาคาราโครัมในประเทศปากีสถานได้เลย สวยจนแทบหยุดหายใจ นั่งรถขึ้นเขาไต่ระดับไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่สูงที่สุดบนเส้นทางนี้ ความสูงอยู่ที่ 5,359 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล แวะให้ท่านได้ถ่ายรูปคู่กับป้ายอดีตทางผ่านสำหรับยานยนต์ที่สูงที่สุดในโลก (ปัจจุบันคือ Umling La, Ladakh ระดับความสูงอยู่ที่ 5,883 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล) ถ่ายรูปเช็คอินลงโซเชียลให้เพื่อนๆได้อิจฉา เราจะไม่ให้คณะอยู่นานนัก เพราะอากาศที่เบาบางอาจทำให้เราแพ้ความสูงและไม่สบายได้...ได้เวลาอันเหมาะสมนำท่านเดินทางต่อจนถึงนูบร้าวัลเลย์
กลางวัน บริการอาหารกลางวัน ณ โรงแรม/ร้านอาหาร
บ่าย ออกเดินทางชม หมู่บ้านฮุนเดอร์ ชม ทะเลทรายสีเงินแห่งหุบเขานูบร้า หรือ Silver Sand Dune of Nubra เนื้อทรายสีขาวละเอียดมองไปได้สุดลูกหูลูกตา โอบล้อมด้วยภูเขาใหญ่หลายลูก นำท่าน“ขี่อูฐนูบร้า” อูฐนูบร้าเป็นพันธุ์แบกเทรียน Bactrian มีสองหนอก ตัวไม่ใหญ่มากนัก มีขนหนาปกคุลมทั่วร่างกายเพื่อช่วยในการรักษาความอบอุ่นในฤดูหนาว เดิมทีใช้เป็นพาหนะหลักสำหรับขนส่งสินค้าตามเส้นทางแถบเอเชียกลาง ให้ท่านถ่ายรูปได้ชิคๆมีรูปเริ่ดๆไปอัพลงโซเชียลรัวๆแน่นอน เพราะอูฐที่นี่เชื่องและเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวมากอีกด้วย...
จากนั้นนำท่านไปชม วัดเดสกิต (Deskit Monastery)วัดที่มีขนาดใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในหุบเขานูบร้า มีการสร้างพระพุทธรูปพระศรีอริยเมตไตรย ขนาดมหึมา ประดิษฐานอยู่บนยอดเนิน สามารถมองเห็นได้จากทุกทิศทางในหุบเขา พระศรีอริยเมตไตรยหรือที่นิยมเรียกว่าพระศรีอาริย์ เป็นพระโพธิสัตว์ผู้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5 และองค์สุดท้ายแห่งภัทรกัปนี้ ภายในวัดยังมีจิตรกรรมฝาผนังโบราณ “กงล้อแห่งชีวิต” หรือ Wheel of Life ที่สะท้อนถึงการเวียนว่ายตายเกิด…นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก
ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม
ที่พัก: Nubra Ethic Camp หรือเทียบเท่า
เช้า บริการอาหารเช้า ณ โรงแรม
จากนั้น นำท่านเดินทางกลับเมืองเลห์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3-4 ช.ม. ขึ้นคาดุงลาพาส แวะยืนเล่นถนนที่สูงที่สุดในโลก“สูงจากระดับน้ำทะเล 5602 เมตรที่นี่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี Khardung La ( Khardung ผ่าน , ลาหมายถึงการผ่านในทิเบต ) เป็นผ่านภูเขาในย่านเลห์ของดินแดนอินเดียสหภาพของลาดัคห์ การออกเสียงในท้องถิ่นคือ "Khardong La" หรือ "Khardzong
กลางวัน บริการอาหารกลางวัน ณ โรงแรม/ร้านอาหารเมืองเลห์
บ่าย นำท่านชม พระราชวังเลห์ (Leh Palace) ตั้งอยู่บนเนินเขาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากจัตุรัสกลางเมือง สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 17 มีทั้งหมด 9 ชั้น ในอดีตเป็นพระราชวังที่ประทับของราชวงศ์แห่งลาดักห์ พระราชวังเลห์ หรือที่รู้จักในชื่อวังลาเชน ปัลการ์ พระราชวังที่ตั้งสูงเด่นกลางเมืองเป็นอดีตพระราชวังที่มองเห็นเมืองเลห์ในลาดักห์ ประเทศอินเดีย
ชมและสักการะ เจดีย์สันติภาพ(Shanti Stupa) เป็นเจดีย์สีขาวขนาดใหญ่ โดยชาวญี่ปุ่นเป็นผู้สร้างขึ้นเพื่อประกาศพระศาสนาและแสดงถึงสันติภาพแห่งโลก รอบๆเจดีย์สามารถมองเห็นหิวทัศน์ของเมืองเลห์ได้อย่างรอบด้าน สถานที่ยอดนิยมเมืองมาถึงเมืองเลห์ ชมวิวเมืองเลห์สุดลูกตา
ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม
ที่พัก: Northern Singge Leh หรือเทียบเท่า
เช้า บริการอาหารเช้า ณ โรงแรม
จากนั้น นำท่านเดินทางสู่ ทะเลสาบพันกอง (Pangong Lake) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6-7 ชั่วโมง วันนี้เราจะนั่งกันนาน และ จะแวะถ่ายรูปกันตลอดเส้นทางเลย ระหว่างเส้นทางจาก เมืองเลห์ลาดักสู่ ทะเลสาบพันกอง ระดับความสูง 4,650 เมตร
ผ่าน ชางลาพาส Chang La Pass เป็นหนึ่งในถนนที่ตัดผ่านยอดเขาสูงในลาดักห์ ที่ระดับความสูง 5,3601 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล สูงเป็นอันดับ 3 ของอินเดีย วิวระหว่างทางสวยมาก ๆ ความสวยต้องแลกด้วยการเดินทางที่นานหน่อย
และระหว่างทาง ทะเลสาบพันกอง-เลห์ ลาห์ดัก แวะ ตามหา หิมาลายัน มาร์มอต ( Himalayan Marmot) มาร์มอตแห่งเทือกเขาหิมาลัย ที่แสนน่ารัก ....หลงรักตั้งแต่เจอครั้งแรกเลย ถ้าเราโชคดีเค้าจะออกให้เราถ่ายรูปกัน มาร์มอต (Marmot) สัตว์ตระกูลเดียวกับกระรอก ที่ขุดหลุมใต้ดินไว้เป็นอาณาจักรส่วนตัว เป็นดาวเด่นของภูเขาแถบนี้ก็ว่าได้ เพราะใคร ๆ ต้องจอดรถ ลงไปทักทาย และดูท่ามาร์มอตเองก็ชินคนไม่น้อย ดูจากการวิ่งเข้าใส่หรือไต่ขึ้นมาบนตัก ในช่วงฤดูหนาวพวกมันจะจำศีลและอยู่ได้ด้วยพลังงานที่กักเก็บไว้ในร่างกาย
กลางวัน บริการอาหารกลางวัน ณ โรงแรม
บ่าย นำท่านชม ทะเลสาบพันกอง ทะเลสาบผางกงโฉ (ในภาษาจีน) หรือทะเลสาบแปงกอง Panggong Lake เป็นทะเลสาปน้ำเค็มที่อยู่ในระดับความสูงที่สูงที่สุดในโลก มีระดับความสูงถึง 4500 เมตร จากระดับน้ำทะเล ได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบหลากสี ตั้งอยู่ตอนเหนือสุดของแคว้นลาดักห์ พื้นที่พรมแดนทับซ้อนของอินเดียและจีน (พื้นที่เขตการปกครองตนเองทิเบต)
ทะเลสาบน้ำเค็มสีครามสด ธรรมชาติดิบๆ มีภูมิประเทศเขาหินทรายท้องฟ้าปลอดโปร่งแทบจะไม่พบเมฆเพราะอยู่บนที่สูง ส่วนที่กว้างที่สุดกว้างเพียง 5 กม. แต่ยาวถึง 134 กม. สาเหตุที่ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อเสียงมาจาก "ปันกอง" ตามรอย ภาพยนตร์เรื่อง 3 Idiots ภาพยนตร์เสียดสีระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยอินเดียแบบมันส์หยด! เล่าเรื่องของรานโช ฟาร์ฮาน และราจู เพื่อนรักสามคนที่เคยสัญญากันเอาไว้ว่าอีก 10 ปีข้างหน้า พวกเขาจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง เพื่อดูว่าใครคือคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้มากกว่ากัน ซึ่งในสมัยมหาวิทยาลัยนั้น พวกเขาเรียนคณะวิศวะด้วยกันในมหาลัยที่ขึ้นชื่อว่าเข้ายากที่สุดในอินเดีย พวกเขาได้สร้างวีรกรรมเอาไว้มากมาย รวมถึงการตอกหน้าระบบการศึกษาที่มีอยู่ เพราะไม่เชื่อว่าการเรียนรู้แบบนี้จะนำไปสู่ความสำเร็จและความสุขในชีวิตให้กับบรรดานักศึกษาได้ จนทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับเรื่องวุ่นๆ ที่ตามมา พร้อมทั้งจัดการกับปัญหาชีวิตและมิตรภาพของพวกเขาเองไปด้วยซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากที่ไปถ่ายทำกันที่ทะเลสาบพันกองด้วย หลังจากภาพยนตร์ออกฉายทำให้คนอินเดียหาว่าทะเลสาบในเรื่องคือที่ไหน หลังจากนั้นจึงกลายเป็นกระแสดังจนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในที่สุด ใครได้ชมภาพยนตร์แล้วอย่าลืมแวะไปถ่ายรูปกับจุดเช็คอินที่นี่ได้...ได้เวลาอันสมควรนำท่านเดินทางกลับเมืองเลห์
ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ โรงแรม
ที่พัก: Northern Singge Leh หรือเทียบเท่า
เช้า บริการอาหารเช้า ณ โรงแรม
อิสระให้ท่านได้พักผ่อนจนถึงเวลานัดหมาย
12.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารของโรงแรม
จากนั้น นำท่านเดินทางสู่สนามบินเพื่อเดินทางสู่เมืองเดลี
14.00 น. ออกเดินทางสู่ เดลลี โดยสายการบิน INDIGO เที่ยวบินที่ 6E 5303
15.30 น. เดินทางถึง ท่าอากาศยานนานาชาติอินทิราคานธีร์ เมืองนิวเดลลี
จากนั้น นำท่าน ผ่านชมประตูอินเดีย โครงสร้างเป็นซุ้มหินทรายที่สร้างขึ้นโดยชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 20 อนุสาวรีย์ที่มีชื่อเสียงเป็นเครื่องหมายของทหารอังกฤษอินเดียที่สูญหาย 70,000 นายในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ตั้งแต่ปี 1971 ผ่านชมราษฏรปติภวัน ที่พำนักทางการของประธานาธิบดีอินเดีย ตั้งอยู่ปลายฝั่งตะวันตกของราชปัถในนิวเดลี อาคารหลักประกอบด้วยห้อง 340 ห้อง การปฏิสังขรณ์ครั้งแรกเริ่มขึ้นในปี 1985 และเสร็จสิ้นในปี 1989 ส่วนในครั้งที่สองได้เริ่มต้นในปี 2010 นำท่านไปช้อปปิ้งที่ ตลาดจันปาร์ต (Janpath Market) มีสินค้าพื้นเมืองของประเทศอินเดียที่มาทั่วสารทิศ อิสระให้ท่านได้เลือกซื้อของตามอัธยาศัยจนถึงเวลานัดหมาย...นำท่านเดินทางสู่สนามบินนิวเดลลี
ค่ำ บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารจีน
จากนั้น พาท่านเดินทางสู่สนามบินเพื่อเดินทางกลับประเทศไทย
00.20 น. ออกเดินทางจากสู่ กรุงเทพฯ โดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 316 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง)
05.25 น. เดินทางถึง สนามบินสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพ
วันเดินทางไป - กลับ | ผู้ใหญ่ท่านละ | พักเดี่ยวเพิ่มเงิน | ราคาเด็กท่านละ | |
---|---|---|---|---|
20 ก.ค. 67 - 27 ส.ค. 67 | 55,900 บาท | 8,500 บาท | สอบถามเพิ่มเติม | จอง |
10 ส.ค. 67 - 17 ส.ค. 67 | 55,900 บาท | 8,500 บาท | สอบถามเพิ่มเติม | จอง |
14 ก.ย. 67 - 21 ก.ย. 67 | 55,900 บาท | 8,500 บาท | สอบถามเพิ่มเติม | จอง |
12 ต.ค. 67 - 19 ต.ค. 67 | 55,900 บาท | 8,500 บาท | สอบถามเพิ่มเติม | จอง |
188/6 ซอยลาดพร้าว 122 (มหาดไทย1) แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร 10310